Tag: ป้องกันอันตราย

บทความ

UV กับการนำมาใช้ฆ่าเชื้อโรค

June 11, 2018

คุณพ่อคุณแม่หลายๆคนยังมีความกังวลกับการจะใช้งานตู้อบแห้งฆ่าเชื้อโรคด้วย UV และยังสงสัยว่าแสง UV จะสามารถกำจัดเชื้อโรคได้จริงหรือเปล่า? แล้วจะฆ่าเชื้อโรคได้ยังไง? เพราะหลายคนๆยังรู้จักเพียงวิธีฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อนเท่านั้น แต่จริงๆแล้ววิธีฆ่าเชื้อโรคในของใช้ต่างๆของลูกยังมีอีกหลายวิธี (7วิธีกำจัดเชื้อโรคในขวดนมลูก) และแสง UV ก็เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่กำจัดเชื้อโรคได้ดีที่สุด ปลอดภัย สะดวกสบายและ ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในต่างประเทศ

มาทำความรู้จักกับ UV   

UV (Ultraviolet) แสงยูวี หรือที่เรารู้จักว่า แสง UV นั้นมาจากแสงของดวงอาทิตย์ เป็นช่วงแสงที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่จุดเด่นคือ มีคุณสมบัติพิเศษ ที่มีความยาวคลื่นยาวกว่ารังสี X-Rays ทำให้มีพลังงานสูง สามารถส่องทะลุผ่านผิววัตถุได้ง่ายกว่าแสงที่เราเห็นทั่วๆไป

แสงยูวี สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ UVA ,UVB และ UVC

แสงยูวีประเภท UVA : มีความยาวคลื่นมาก (320-400 nm) จะรู้จักกันในนาม “Black Light” ถูกใช้ในการทำ Skin Tanning และการรักษาโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับผิวหนัง

แสงยูวีประเภท UVB : มีความยาวคลื่นระดับกลาง (280-320 nm) สามารถส่งผลอันตรายต่อผิวหนังและตาได้ โดยมากจะดูดซับไว้โดยชั้นโอโซนของโลก แต่ก็ยังมีเล็ดลอดส่องมาถึงเราบ้างจึงมีการผลิตครีมกันแดดที่สามารถกันรังสี UVA และ UVB ได้

แสง ยูวีประเภท UVC : มีความยาวคลื่นสั้นที่สุด (200-280 nm) แต่มีพลังงานสูงสุด มีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อมากที่สุด รังสี UVC ถูกนำไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการฆ่าเชื้อโรคในอากาศ พื้นผิวและน้ำ แต่แสงยูวีประเภทนี้มีอันตรายต่อผิวหนังและตามากที่สุดจึงไม่ควรได้รับแสงโดยตรง

โดยมากจะมีเพียงแสงยูวีประเภท UVA เท่านั้นที่สามรถส่องผ่านมาถึงผิวโลกได้ ส่วน UVB และ UVC จะถูกโอโซนในชั้นบรรยากาศดูดซับปริมาณส่วนมากไว้ก่อนแล้ว

แล้วนำแสง UV มาใช้ฆ่าเชื้อโรคได้อย่างไร?

UV แสงยูวีที่นำมาใช้ในการฆ่าเชื้อโรคนั้น เกิดมาจากการสังเคราะห์ UVC ขึ้นเอง นั้นก็คือระบบ “UVGI” (Ultraviolet Germicidal Irradiation) หรือ ระบบการใช้แสงยูวีที่มีความเข้มข้นสูงพิเศษ (Germicidal Range) เพื่อฆ่าและทำลายเชื้อโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Virus Bacteria Fungi และ Yeast & Mold ที่อยู่บนพื้นผิวและในอากาศ หากเชื้อโรคต่างๆได้รับปริมาณแสง UVC ในระยะเวลาที่เพียงพอ แสงยูวีจะทะลุเข้าไปใน DNA ของเชื้อโรค ทำให้ DNA เพี้ยนไปจากปรกติ เชื้อโรคไม่สามารถสืบพันธุ์ต่อได้ ก็จะตายในที่สุด ซึ่งวิธีนี้จะเป็นวิธีการทำลายเชื้อโรคชนิดรุนแรง

โดยระบบ UVGI ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้มากกว่า 100 ปีแล้ว และนิยมมากในประเทศแถบยุโรป เริ่มจากใช้ฆ่าเชื้อโรคในโรงพยาบาลทุกแห่งก่อน และในปัจจุบันมีการนำมาใช้แพร่หลายมากขึ้น นอกจากโรงพยาบาล คลินิก โรงงานต่างๆ ยังนำมาประยุกต์ใช้ในบ้านเรือน หรือแม้แต่พกพาไปในที่ต่างๆ เพื่อฆ่าเชื้อโรคในที่สาธารณะได้เลยทันที

การฆ่าเชื้อด้วยระบบ UVGI  แบ่งออกเป็น 3 ประเภทด้วยกัน

การฆ่าเชื้อโรคในอากาศ (Air Disinfection) : คือ การฆ่าเชื้อที่ลอยอยู่ในอากาศ ในสถานที่ที่มีคนอยู่เป็นจำนวนมากหรืออยู่เป็นเวลานาน เช่น โรงพยาบาล โรงภาพยนตร์ หอประชุม สำนักงาน ห้องฟิตเนต ห้องเรียน เป็นต้น

ฆ่าเชื้อโรคในของเหลว (Liquid Disinfection) : คือ การฆ่าเชื้อโรคในของเหลว เช่น น้ำดื่มฆ่าด้วยด้วยแสงอัลตราไวโอเลต หรือในอุตสาหกรรมบำบัดน้ำเสียฆ่าเชื้อโรคในน้ำก่อนปล่อยลงสู่แหล่งน้ำ เป็นต้น

ฆ่าเชื้อโรคที่พื้นผิวของวัตถุ (Surface Disinfection) : คือ การฆ่าเชื้อโรคแบบเฉพาะเจาะจง ใช้ฆ่าเชื้อบนพื้นผิวโดยใช้แสง UVC บริเวณที่โดนแสงเชื้อโรคก็จะโดนทำลาย ซึ่งปริมาณความเข้มของแสง ระยะห่าง และระยะเวลา ต้องสัมพันธ์กัน เพื่อประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อสูงสุด เช่น ฆ่าเชื้อบนราวจับรถเข็น ฆ่าเชื้อภาชนะ อุปกรณ์ในห้องครัว ฆ่าเชื้อในห้องนอน ฆ่าเชื้อบนพื้นขณะดูดฝุ่น ฆ่าเชื้อแปรงสีฟัน ฆ่าเชื้อบนสุขภัณฑ์ ฆ่าเชื้อของใช้ และของเล่นเด็กต่างๆ เป็นต้น และการฆ่าเชื้อโรคประเภทนี้นี้เอง ที่ตู้อบ UV นำมาประยุกค์ใช้งาน เพื่อความสะอาดของ ของใช้ในครอบครัว

โดยในปัจจุบัน หน่วยงานต่างๆได้รองรับในประสิทธิการกำจัดเชื้อโรคด้วยระบบ UVGI นี้ อาทิเช่น CDC (Centers for Disease Control and Prevention) ที่แนะนำให้ใช้ในโรงพยาบาล ASHRAE (American Society of Heating, Refrigerating and Air-Conditioning Engineers) เองก็แนะนำให้ใช้ในระบบปรับอากาศในอาคาร รวมทั้ง WHO (World Health Organization) ที่แนะนำให้ใช้ระบบ UVGI เพื่อควบคุมการแพร่กระจายของวัณโรค (Tuberculosis)

นอกจากฆ่าเชื้อโรคแล้ว UV ยังมีประโยชน์อื่นๆอีกไหม

จุดหลักๆของการนำ UV มาใช้งานนั้นก็คือประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค แบคทีเรีย ไว้รัสได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนสิ่งที่เราจะได้ตามมานั้นก็คือการกำจัดกลิ่นอับต่างๆ ที่เกิดจากการสะสมของแบคทีเรีย ซึ่งแสง UV สามารถกำจัด และลดต้นเหตุของปัญหาได้

ทำไมถึงต้องเลือกใช้ UV ในการฆ่าเชื้อโรคเมื่อมีวิธีอื่นๆ

1.ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อโรค ทั้งแบคทีเรียและไวรัส ที่กำจัดได้ถึงขั้น DNA ถือว่าเป็นวิธีการกำจัดชนิดรุนแรงที่สุด

2.ได้รับการรับรอง และถูกใช้กันอย่างแพร่หลาย ทั้งใน โรงพยาบาล คลินิก อุตสาหกรรมการผลิตน้ำดื่ม การปรับอากาศในสถานที่สำคัญๆ และใช้ยับยั้งการแพร่กระจายของเชื้อโรค ซึ่งทั้งหมดนี้ให้ความเชื่อมั่นในการใช้แสง UV ในการฆ่าเชื่อโรคว่ามีประสิทธิภาพสูงสุง

3.สามารถใช้ฆ่าเชื้อโรคได้มากกว่าขวดนม เพราะแสง UV ไม่มีความร้อน จึงสามารถใช้ได้กับวัสดุที่ทำมาจาก พลาสติก แก้ว ไม้ อลูมิเนียม ซิลิโคน  หรือ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิก เรียกได้ว่า ทั้งขวดนม จุกยาง ภาชนะใส่อาหาร ของเล่น รวมไปถึงของใช้ของคุณพ่อคุณแม่สามารถใช้งานกับแสง UV ได้หมด มีความคุ้มค่าสูง

เพราะความอันตรายของเชื้อโรคนั้น ร้ายแรงกว่าที่คิด ในแต่ละวันมีโอกาสเสี่ยงต่อการปนเปื้นเชื้อโรคตลอดเวลา ทั้งจากการสัมผัส จากการไอ-จาม ทางอากาศ โดยที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย ถ้าสิ่งของต่างๆของลูกไม่ได้รับการฆ่าเชื้อโรคที่ดีพอ ลูกก็อาจจะต้องเจอกับเชื้อไวรัสและแบคทีเรียจนทำให้เกิดอาการอาเจียน ท้องร่วง  อาหารเป็นพิษ หรือการติดเชื้อไวรัสต่างๆ อาการเหล่านี้เป็นอันตรายต่อลูกอย่างมาก เมื่อคุณพ่อคุณแม่รู้ถึงวิธีการกำจัดเชื้อโรคด้วยรังสี UV และใช้งานตู้อบ UV ได้อย่างถูกวิธี ก็จะช่วยคุณทำลายเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด สะอาด ปลอดภัย เพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว

                              

ตู้อบแห้งฆ่าเชื้อ UV Prince&Princess Baby UV Sterilizer Gen3                              ตู้อบแห้งฆ่าเชื้อ Prince&Princess Baby UV Mini

บทความ

ปกป้องลูกน้อยบนท้องถนนด้วยคาร์ซีทนำเข้าจากเกาหลี!

December 14, 2017

สวัสดีค่า วันนี้มีอะไรดี ๆ มาฝากกันเช่นเคยค่ะ : ) บ้านเราเพิ่งกลับจากการพักผ่อนส่งท้ายปิดเทอมที่หัวหิน ครั้งนี้เดินทางกันสามคนพ่อแม่ลูก ระยะทางจากบ้านเราไปหัวหินใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง ถ้าต้องอุ้มลูกวัย 3 ขวบไปตลอดทางก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังน่าเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยอีกด้วย เราเลยขอมารีวิวตัวช่วยดี สำหรับทุกครอบครัว นั่นคือคาร์ซีท ตัวนี้นำเข้ามาจากเกาหลีเลย เค้ามีชื่อแบรนด์น่ารัก ๆ ว่า “Prince&Princess” เราซื้อมาจากร้าน Babygift ค่ะ

(ภาพจาก http://www.babygiftretail.com)

คาร์ซีท รุ่น DUCLE จากแบรนด์ “Prince&Princess” สามารถใช้ได้ตั้งแต่แรกเกิดถึง 7 ขวบ จะมีความพิเศษตรงที่ ใช้วัสดุผ้าฝ้ายออร์แกนิค ที่สามารถระบายอากาศได้ดี ปลอดสารเคมี นุ่มนิ่ม สบายตัว : ) แถมยังปลอดภัยมากกว่าด้วยสายเบลท์ 5 จุดที่ปรับได้ถึง 4 สเต็ป มาพร้อมเบาะรองคาร์ซีทที่ใช้ได้ถึง 2 ด้าน และรองรับแรงกระแทกได้ดีเป็นพิเศษด้วยวัสดุพรีเมียม!

คาร์ซีทค่อนข้างใหญ่ นั่งสบาย ปรับเอนได้ถึง 4 ระดับ

บนคาร์ซีทจะมีภาพวิธีปรับ ตั้งค่าต่าง ๆ ช่วยให้ใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น

สำหรับเด็กเล็กจะมีชุดซัพพอร์ตเพิ่มเติม เป็นหมอนประคองศีรษะ-ต้นคอ และ หมอนรองสะโพก ที่ช่วยประคองหลังและสะโพกได้อย่างดีค่ะ แต่ลูกเราโตแล้วเลยไม่ได้ใช้สองชิ้นนี้

ด้านข้างก็จะมีตัวกลม ๆ แบบนี้ ซึ่งจะวัดระดับองศาในการนอนที่เหมาะสม
ถ้าลูกกลม ๆ สีแดงอยู่ในช่องสีฟ้า ก็ถือว่าเป็นองศาที่พอดีค่ะ

สำหรับเด็กแรกเกิดถึง 9 โล การนั่งจะหันหน้าเข้าเบาะ ส่วนเด็กโตหน่อย สามารถหันหน้าไปหน้ารถปกติได้เลย และเด็ก 4 ขวบขึ้นไป ควรใช้เบลท์ของรถยนต์คาด ลักษณะนี้จะเรียกว่า Booster ซึ่งจะเป็นการฝึกให้เด็กเตรียมพร้อมสำหรับการนั่งเบาะรถยนต์ในอนาคตค่ะ

สำหรับการติดตั้ง และคำแนะนำต่าง ๆ พนักงานที่ร้าน Babygift ก็พร้อมบริการลูกค้าทุกคนค่ะ ประทับใจมากตรงนี้ จนต้องมาเขียนรีวิวยาว ๆ กันเลยทีเดียว ^^ ถ้าซื้อออนไลน์ พนักงานส่งสินค้าก็สามารถให้คำแนะนำได้เช่นเดียวกัน

เอาบรรยากาศวิวทะเลสวย ๆ ที่ Seen Space มาฝากกันค่ะ

อุบัติเหตุบนท้องถนนเกิดขึ้นได้เสมอ บางครั้งเราระมัดระวังแล้วแต่คนที่ประมาทอาจไม่ใช่เราค่ะ ดังนั้นควรป้องกันไว้ก่อน ด้วย เพราะเข็มขัดนิรภัยของรถยนต์ ถูกออกแบบมาเพื่อสรีระของผู้ใหญ่ ดังนั้นแน่นอนว่าอันตรายค่ะ การใช้คาร์ซีทจึงเป็นทางเลือกในการปกป้องและลดความรุนแรงที่ดีกว่า อย่างที่ต่างประเทศนี่ มีเป็นกฎหมายบังคับใช้กันเลยนะคะ

ขอบคุณรีวิวของน้องมิลิน จาก : a day with Minimilin